จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สามก๊ก |

ภาพหน้าปกหนังสือสามก๊กภาคภาษาไทย
ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เล่ม 1
จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร พ.ศ. 2544 |
ผู้ประพันธ์ | ล่อกวนตง (ฮกเกี้ยน) หรือ หลอกว้านจง (จีนกลาง) |
ชื่อต้นฉบับ | ซานกว๋อเหยียนอี้ (จีนตัวเต็ม: 三國演義; จีนตัวย่อ: 三国演义)
สามก๊กเอี้ยนหงี (ฮกเกี้ยน)
ซานกว๋อเหยี่ยนยี่ (จีนกลาง) |
ผู้แปล | เจ้าพระยาพระคลัง (หน) |
ผู้สร้างสรรค์ปก | มีหลายรูปแบบ |
ประเทศ | จีน |
ภาษา | ภาษาจีน |
ประเภท | วรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์ |
ผู้เผยแพร่ | หลายแห่ง |
วันเผยแพร่ | ตีพิมพ์หลายคราว |
ชนิดสื่อ | พงศาวดารจีน |
สามก๊ก (
อังกฤษ:
Romance of the Three Kingdoms ;
จีนตัวเต็ม:
三國演義;
จีนตัวย่อ:
三国演义;
พินอิน:
Sānguó yǎnyì) เป็น
วรรณกรรมจีนอิง
ประวัติศาสตร์ เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จัดเป็นวรรณกรรมเพชรน้ำเอกของโลก เป็นมรดกทางปัญญาของปราชญ์ชาวตะวันออกที่สุดยอด มีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 10 ภาษา
[1]และมีการตีพิมพ์อย่างแพร่หลายทั่วโลก แต่งขึ้นประมาณในช่วง
คริสต์ศตวรรษที่ 14 ยุคสมัย
ราชวงศ์หยวน บทประพันธ์โดย
หลอกว้านจง (
อังกฤษ:
Luo Guanzhong ;
จีน:
羅貫中) แปลและเรียบเรียงเป็น
ภาษาไทยโดย
เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ในสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ในปี
พ.ศ. 2345 ในรูปแบบสมุดไทย ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยโรงพิมพ์ของ
หมอบรัดเลย์ ในปี
พ.ศ. 2408 และได้รับการตีพิมพ์ซ้ำอีกครั้งภายใต้ชื่อ "หนังสือสามก๊ก ฉบับราชบัณฑิตยสภา" โดยโรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร ในปี
พ.ศ. 2471 ปัจจุบันสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้รับการตีพิมพ์ใหม่อีกหลายครั้งโดยหลายสำนักพิมพ์ถือเป็นวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เล่มที่ 2 โดยแปลหลังจากไซ่ฮั่นและเก่าแก่ที่สุดในไทย
[2]
สามก๊กมีเนื้อหาหลากหลายรสชาติ เต็มไปด้วยกลเล่ห์เพทุบาย
กลศึกในการรบ การชิงรักหักเหลี่ยม ความเคียดแค้นชิงชัง ความซื่อสัตย์และการให้อภัย ซึ่งมีเนื้อหาและเรื่องราวในทางที่ดีและร้ายปะปนกัน
[3] ภาพโดยรวมของสามก๊กกล่าวถึงประวัติศาสตร์จีนใน
ยุคสามก๊ก ในปี
พ.ศ. 763 -
พ.ศ. 823 โดยจุดเริ่มต้นของสามก๊กเริ่มจากยุคโจรโพกผ้าเหลืองในปี
พ.ศ. 726 ที่ออกอาละวาด จนเป็นเหตุให้บุคคลทั้งสามคือ
เล่าปี่ กวนอูและ
เตียวหุย ได้ร่วม
สาบานตนเป็นพี่น้องและร่วมปราบ
กบฏโจรโพกผ้าเหลือง รวมทั้งการแย่งและช่วงชิงอำนาจความเป็นใหญ่ในช่วงปลาย
ราชวงศ์ฮั่นของก๊กต่าง ๆ อันประกอบด้วย
วุยก๊กหรือก๊กเว่ย (魏) จ๊กก๊กหรือก๊กสู่ (蜀) และ
ง่อก๊กหรือก๊กหวู (吳) จนถึงการสถาปนา
ราชวงศ์จิ้นโดย
สุมาเอี๋ยน รวมระยะเวลาประมาณ 60 ปี นอกจากนี้ สามก๊กยังเป็นหนึ่งใน
สี่สุดยอดวรรณกรรมจีนร่วมกับ
ไซอิ๋ว ซ้องกั๋งและ
ความฝันในหอแดง ซึ่งนักอ่านหนังสือจำนวนมากยกย่องสามก๊กเป็นบทเรียน
ตำราพิชัยสงครามภาคปฏิบัติ การบริหารและ
เศรษฐกิจ
[แก้] ประวัติการประพันธ์
สามก๊ก เป็นวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์ ที่เรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ของจีน ซึ่งเนื้อหาโดยรวมเป็นการเล่าแบบบรรยายเกี่ยวกับเหตุการณ์ในปลายสมัย
ราชวงศ์ฮั่น ซึ่งจีนในขณะนั้นบ้านเมืองเกิดเหตุการณ์วุ่นวายระส่ำระสาย เกิดการแตกแผ่นดินออกเป็นก๊กต่าง ๆ รวมสามก๊กด้วยกัน รวมทั้งมีการทำสงครามอันยาวนานนับ 100 ปี และสุดท้ายจีนที่แตกออกเป็นก๊กเป็นเหล่าก็กลับมารวมเป็นจีนแผ่นดินใหญ่อีกครั้งในสมัย
ราชวงศ์จิ้นขึ้นปกครองประเทศจีนต่อ ภายหลังได้มีการชำระ
ประวัติศาสตร์และเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตในยุคนั้น โดยนักปราชญ์ชาวจีนชื่อตันซิ่ว
[4]
บันทึกเหตุการณ์และเรื่องราวต่าง ๆ ในยุคสามก๊กฉบับแรก ที่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรคือ
จดหมายเหตุสามก๊ก หรือสามก๊กจี่ หรือซานกว๋อจื้อ (
จีน:
三國志) ซึ่งเป็นผลงานการเขียนในลักษณะพงศาวดารโดย
ตันซิ่วหรือเฉินโซ่ว บัณฑิตแห่งราชวงศ์จิ้น อดีตข้าราชการอาลักษณ์คนหนึ่งของจ๊กก๊กที่ถูกกวาดต้อนมายังวุยก๊กหลังจากพ่ายแพ้ศึกสงคราม โดยเขียนขึ้นตามบัญชาของ
พระเจ้าจิ้นหวู่ตี้เพื่อเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ ต่อมาในช่วงใดช่วงหนึ่งระหว่างปี
พ.ศ. 1873 -
พ.ศ. 1943 หลอกว้านจง ได้นำซานกว๋อจื้อมาแต่งใหม่ในรูปแบบนิยายกึ่งประวัติศาสตร์ โดยเนื้อเรื่องทั้งหมดนำมาจากซานกว๋อจื้อบ้างและแต่งเพิ่มเติมเองบ้าง ซึ่งเมื่อเทียบกับซานกว๋อจื้อนั้น พบว่ามาจากซานกว๋อจื้อร้อยละ 70 และแต่งเองร้อยละ 30 โดยประมาณ
[แก้] สามก๊กในรูปแบบต่าง ๆ
เรื่องราวแหละเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยุคสามก๊ก เคยมีผู้นำมาเล่าเป็น
นิทานเล่าสืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนาน และนำมาปรับปรุงเสริมแต่งเพื่อเล่นเป็น
งิ้วในเมืองจีน จนกระทั่งหลอกว้านจง นักปราชญ์จีนในสมัยยุค
ราชวงศ์หมิง ในปี
พ.ศ. 1911 -
พ.ศ. 2186 ได้นำสามก๊กมาเรียบเรียงใหม่อีกครั้งในรูปแบบของ
หนังสือ ต่อมาภายหลังเม่าจงกังและกิมเสี่ยถ่าง (จิ้นเสิ้งทั่น) ได้เพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนของสามก๊กและนำไปตีพิมพ์ในจีน หลังจากนั้นเป็นต้นมา ชื่อของ "สามก๊ก" ได้กลายเป็นวรรณกรรมอมตะที่ได้รับการกล่าวขานและแพร่หลายในจีน รวมทั้งอีกหลาย ๆ ประเทศและได้รับการตีพิมพ์ในรูปแบบภาษาต่าง ๆ หลายภาษา
[5]
[แก้] ซานกว๋อจื้อ
ซานกว๋อจื้อ (
จีน:
三国志) ซึ่งเป็นจดหมายเหตุของตันซิ่ว ถือได้ว่าเป็นเอกสารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของจีนในสมัยของ
ยุคสามก๊กชุดแรก ซึ่งถือว่ามีความสมบูรณ์มากที่สุด มีความยาว 65 เล่ม ประกอบไปด้วย วุยจี่ (จดหมายเหตุก๊กวุย) จำนวน 30 เล่มสมุด จ๊กจี่ (จดหมายเหตุก๊กจ๊ก) จำนวน 15 เล่มสมุด และง่อจี่ (จดหมายเหตุก๊กง่อ) จำนวน 20 เล่มสมุด มีตัวอักษรรวมทั้งหมดประมาณ 360,000 ตัว ซึ่งในตอนแรกนั้นตันซิ่วไม่ได้ตั้งชื่อบันทึกประวัติศาสตร์สามก๊กว่า "ซานกว๋อจวื้อ" ซึ่งชื่อนี้ได้มาจากบัณฑิตในสมัยราชวงศ์ต้าซ่งผู้หนึ่งเป็นผู้ตั้งให้ แต่เนื่องจากตันซิ่วรับราชการเป็นขุนนางของราชวงศ์จิ้นหรือวุยก๊ก ซึ่งทำให้การเขียนจดหมายเหตุสามก๊กนั้นเป็นการเขียนที่ยึดเอาราชวงศ์จิ้นเป็นหลัก ตันซิ่วยกให้วุยก๊กของโจโฉเป็นก๊กที่ปกครองแผ่นดินอย่างถูกต้อง ส่วนจ๊กก๊กของเล่าปี่และง่อก๊กของซุนกวน กลายเป็นเพียงรัฐที่มีการปกครองเพียงบางส่วนของประเทศจีนเท่านั้น และด้วยเหตุนี้ทำให้มุมมองของตันซิ่วที่มีต่อจ๊กก๊กและง่อก๊กแตกต่างจากสามก๊กของหลอกว้านจง ซึ่งนำเอาจดหมายเหตุสามก๊กมาดัดแปลงเพิ่มเติมจนกลายเป็นสามก๊กในปัจจุบัน
ตันซิ่วกล่าวยกย่องจักรพรรดิของวุยก๊กทุกพระองค์ด้วยราชทินนามเช่น เรียก
พระเจ้าโจโฉว่า "วุยบู๊เต๊" เรียก
พระเจ้าโจผีว่า "วุยบุ๋นเต้" และเรียก
พระเจ้าโจยอยว่า "วุยเหม็งเต้" และสำหรับ
พระเจ้าโจฮอง พระเจ้าโจมอและ
พระเจ้าโจฮวน ตันซิ่วยกย่องให้เป็นสามจักพรรดิพระองค์น้อย นอกจากนี้ตันซิ่วยังให้คำที่แปลว่าจักรพรรดิของแต่ละก๊กที่แตกต่างกัน โดยคำว่าจักรพรรดิของวุยก๊กใช้คำว่า "จี้" แปลว่าพระราชประวัติ แต่สำหรับจ๊กก๊กและง่อก๊ก ตันซิ่วเลือกใช้เพียงคำว่า "จ้วน" ที่แปลว่าชีวประวัติบุคคลเท่านั้น แต่สำหรับจักรพรรดิของจ๊กก๊กคือ
พระเจ้าเล่าปี่ ตันซิ่วยังคงให้เกียรติอยู่บ้างในฐานที่เคยอาศัยในจ๊กก๊ก จึงเรียกพระเจ้าเล่าปี่ว่า "เฉียนจวู่" แปลว่าเจ้าผู้ครองรัฐพระองค์แรก และเรียก
พระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า "โฮ่วจวู่" แปลว่าเจ้าผู้ครองรัฐพระองค์หลัง แต่สำหรับง่อก๊กนั้นตันซิ่วเลือกใช้คำสามัญธรรมดาด้วยการเรียกชื่อโดยตรงคือ
ซุนเกี๋ยน ซุนกวนและ
ซุนเหลียงเป็นต้น
[6]
นอกจากนี้ตันซิ่วยังเปลี่ยนชื่อเรียกขานของจ๊กก๊กจาก "ฮั่น" เป็น "จ๊ก" ด้วยเหตุผลที่ว่าหากตันซิ่วเลือกใช้คำว่า "ฮั่น" ก็จะเท่ากับเป็นการให้เล่าปี่สืบทอดราชสมบัติและราชอาณาจักรต่อจาก
ราชวงศ์ฮั่นอย่างถูกต้อง ซึ่งจะกลายเป็นการไม่ยุติธรรมต่อฝ่ายวุยก๊ก ตันซิ่วจึงเลือกที่จะลดฐานะของเล่าปี่จากเชื้อสายราชวงศ์ฮั่นเป็นเพียงเจ้าผู้ครอง
มณฑลเสฉวนหรือจ๊กก๊กเท่านั้น ซึ่งการเลือกใช้คำเรียกเล่าปี่ของตันซิ่วนี้ เป็นชนวนสำคัญที่ทำให้นักประวัติศาสตร์ไม่พอใจและตำหนิตันซิ่วที่มีความลำเอียงและเลือกเข้าข้างวุยก๊กและราชวงศ์จิ้น รวมทั้งมีอคติที่ไม่ดีต่อ
จูกัดเหลียงที่สืบมาจากความเคียดแค้นในเรื่องส่วนตัว แต่ถึงอย่างนั้นนักประวัติศาสตร์จีนก็ให้การยกย่องตันซิ่วที่มีความสามารถในการเขียนประวัติศาสตร์ ที่สามารถเก็บบันทึกรายละเอียดต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ที่สุด
[แก้] ซานกว๋อจื้อผิงฮว่า
การแสดงงิ้วในฉบับซานกว๋อจื้อผิงฮว่า
ซานกว๋อจื้อผิงฮว่า (
จีน:
三国之评话) เป็นการนำ
จดหมายเหตุสามก๊กของตันซิ่วมาเขียนขึ้นใหม่ในรูปของนิทานและบทแสดงของ
งิ้วโดยนักปราชญ์สมัย
ราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นการเชื่อมโยง
ประเพณีโบราณของจีนที่ให้ความสำคัญกับความกตัญญู ข้าราชการ เสนาธิการและเหล่าขันทีภายในราชสำนักจะต้องจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิอย่างไม่มีเงื่อนไข เนื้อหาบางส่วนของจดหมายเหตุสามก๊กของตันซิ่วที่กล่าวถึงโจโฉที่ใช้อำนาจในการข่ม
พระเจ้าเหี้ยนเต้ตลอดมานั้น รวมทั้งการที่โจผีบังคับให้พระเจ้าเหี้ยนเต้สละราชสมบัติให้แก่ตน ตามหลักการของ
ลัทธิขงจื๊อถือว่าเป็นบาปเท่ากับกลายเป็นโจรปล้นราชสมบัติ ซานกว๋อจื้อผิงฮว่าจึงกลายเป็นสามก๊กฉบับชาวบ้านที่เล่าสืบทอดกันมาและมีความแตกต่างจากจดหมายเหตุสามก๊กของตันซิ่ว
[7]
ซานกว๋อจื้อผิงฮว่า เป็นการนำเอาหลักการความเชื่อในด้าน
ศาสนาและ
ลัทธิเต๋าของจีนมาผสมผสานไว้ในเนื้อเรื่อง ผูกโยงร่วมกับนิทานพื้นบ้านของจีนเรื่อง
ไซ่ฮั่น โดยสมมุติเรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในซานกว๋อจื้อผิงฮว่าใหม่ทั้งหมด ซึ่งตัวละครในแต่ละตัวจะพบผลกรรมที่ตนเองได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้ในยุคไซ่ฮั่นเช่น มีการแต่งเนื้อเรื่องเพิ่มเติมว่า
ฮั่นสินได้กลับชาติมาเกิดใหม่เป็นโจโฉ
เล่าปังหรือ
พระเจ้าฮั่นโกโจ จักรพรรดิแห่ง
ราชวงศ์ฮั่นพระองค์แรก กลับชาติมาเกิดใหม่เป็น
พระเจ้าเหี้ยนเต้ เนื่องจากในชาติที่แล้ว เล่าปังได้เนรคุณฮั่นสินที่มีบุญคุณต่อตนเองภายหลังจากได้ช่วยให้ครอบครองแผ่นดินได้สำเร็จ เมื่อกลับมาเกิดใหม่เป็นพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงถูกฮั่นสินที่กลับมาเกิดเป็นโจโฉกดขี่ข่มเหงและกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา หรือแม้แต่
สุมาต๋ง ก็ได้หวนกลับมาเกิดใหม่เป็นสุมาอี้ ผู้วางรากฐานจีนแผ่นดินใหญ่และการรวบรวมก๊กต่าง ๆ ทั้งสามก๊กให้เป็นแผ่นดินเดียวกันได้สำเร็จ
ซานกว๋อจื้อผิงฮว่า ถูกนำมาเรียบเรียงขึ้นใหม่เพื่อความสนุกสนานและความบันเทิงในรูปแบบของนิทานพื้นบ้านและการแสดงงิ้วของคนจีน จึงพบว่ามีเนื้อหาบางและข้อมูลบางส่วนมีความผิดพลาดจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของจีนเช่น การให้
เตียวหุยกลายเป็นสุดยอดขุนศึกที่มีความเก่งกาจ สามารถเอาชนะ
ลิโป้ได้อย่างง่ายดายจนต้องหลบหนีเอาตัวรอด หรือแม้แต่เอาชนะ
จูล่งได้ที่กู่เฉิง บีบคอ
อ้วนซงบุตรชายของ
อ้วนสุดจนตายคามือ เป็นต้น
[แก้] เผย์ซงจื่อ
สามก๊ก ฉบับเผย์ซงจื่อ (
จีน:
裴松之) เป็นการนำเอาจดหมายเหตุสามก๊กของตันซิ่วมาเรียบเรียงใหม่ และอธิบายเพิ่มเติมในบางส่วนโดยเผย์ซงจื่อ นักปราชญ์ที่เกิดและเติบโตในเมืองวิ่นเฉิงหรือ
มณฑลซานซีในปัจจุบัน เมื่อเติบโตเป็นหนุ่ม เผย์ซงจื่อได้รับราชการเป็นอาลักษณ์ให้แก่
ราชวงศ์ซ่งทางตอนใต้ของจีน และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ชำระจดหมายเหตุสามก๊กของตันซิ่วในสมัย
ราชวงศ์จิ้น โดยที่เผย์ซงจื่อชำระจดหมายเหตุสามก๊กเสร็จสมบูรณ์ในปี
พ.ศ. 972 และมีการกล่าวเพิ่มเติมรวมทั้งให้คำอธิบายในบางส่วนเกี่ยวกับภูมิประเทศและรายละเอียดต่าง ๆ ที่มีการกล่าวอ้างถึงในต้นฉบับเดิม
นอกจากนี้ เผย์ซงจื่อยังแก้ไขในเรื่องของระยะเวลาที่มีความขัดแย้งในตัวเองของจดหมายเหตุสามก๊กและเพิ่มเติมความคิดเห็นบางส่วนของตนลงไป โดยที่ไม่ตัดทอนรายละเอียดและเรื่องราวต่าง ๆ ของจดหมายเหตุสามก๊กออกแต่อย่างใด จึงนับได้ว่าการชำระจดหมายเหตุสามก๊กของเผย์ซงจื่อทำให้ซานกว๋อจื้อเป็นที่กล่าวขานครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ซ่ง
[8]
[แก้] ซานกว๋อจื้อทงสูเหยี่ยนอี้
ซานกว๋อจื้อทงสูเหยี่ยนอี้ (
จีน:
三国之通俗演義) เป็นสามก๊กฉบับนิยายที่ประพันธ์โดย
หลอกว้านจง นักปราชญ์ในสมัย
ราชวงศ์หมิง ผู้เป็นศิษย์เอกของซือไน่อัน หลอกว้านจงเป็นผู้นำเอาจดหมายเหตุสามก๊กของตันซิ่วมาเรียบเรียงใหม่ โดยแต่งเสริมเพิ่มเติมในบางส่วนจากความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ในแบบฉบับของตนเอง รวมทั้งมีการปรับเปลี่ยนเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของจีนให้กลายเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่เป็นการต่อสู้กันเองระหว่างฝ่ายคุณธรรมและฝ่ายอธรรมตามแบบฉบับของงิ้ว ที่จะต้องมีการกำหนดตัวเอกและตัวร้ายอย่างชัดเจนในเนื้อเรื่อง
สามก๊กของหลอกว้านจงได้มีการกำหนดให้เล่าปี่เป็นฝ่ายคุณธรรม มีจิตใจโอบอ้อมเมตตาอารีและมีคุณธรรมสูงส่งที่พยายามปราบปรามโจโฉที่เป็นฝ่ายอธรรม ช่วงชิงราชสมบัติและล้มล้างราชวงศ์ฮั่น ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติศาสตร์จีน นักประวัติศาสตร์ต่างลงความเห็นถึงสามก๊กของหลอกว้านจงที่มีใจเอนเอียงไปทางเล่าปี่อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมีเหตุผลยืนยันความถูกต้องตามประวัติศาสตร์เป็นส่วนใหญ่
[9]
[แก้] ซานกว๋อเหยี่ยนอี้
ซานกว๋อเหยี่ยนอี้ (
จีน:
三国演義) เป็นสามก๊กที่ถูกนำมาเรียบเรียงใหม่โดยเหมาหลุนและเหมาจ้งกัง สองพ่อลูกในสมัย
ราชวงศ์ชิง ซึ่งได้ทำการปรับปรุงสามก๊กในแบบฉบับของหลอกว้านจงใหม่อีกครั้ง และมอบหมายให้กิมเสียถ่าง (จิ้นเซิ่งทั่น) เป็นผู้เขียนคำนำเรื่อง โดยที่สามก๊กฉบับที่เหมาหลุนและเหมาจ้งกังช่วยกันปรับปรุงแก้ไข โดยยึดแนวทางการเขียนของหลอกว้างจงเป็นต้นแบบคือแบ่งเป็นสองฝ่ายและแย่งชิงอำนาจวาสนากันในสมัย
ราชวงศ์ฮั่น ให้ฝ่ายเล่าปี่เป็นฝ่ายที่เป็นเชื้อพระวงศ์ฮั่นที่ถูกต้องของแผ่นดินจีน โจโฉเป็นฝ่ายกบฎที่ทะเยอทะยานในอำนาจของตนเอง
[10]
เหมาจ้งกังได้ปรับแก้ไขสำนวนการใช้ภาษาของหลอกว้านจงในบางจุด ซึ่งเป็นภาษาพูดและเป็นการใช้สำนวนภาษาแบบยุค
ราชวงศ์หยวนหรือหงวน ให้กลายเป็นการใช้สำนวนภาษาในแบบภาษาเขียนของราชวงศ์ชิงหรือแมนจู นอกจากนี้ยังได้ทำการปรับเปลี่ยนลักษณะและบุคลิกของตัวละครในสามก๊กใหม่ทั้งหมดตามแนวความคิดของตนเอง รวมทั้งยังปรับเปลี่ยนชื่อและตำแหน่งขุนนาง สถานที่ของสามก๊กต้นฉบับของหลอกว้านจงผิดไปตามชื่อจริงในยุคนั้น ๆ ซึ่งสามก๊กของหลอกว้านจงนั้นได้เขียนชื่อตัวละคร ตำแหน่งและสถานที่ค่อนข้างชัดเจนและถูกต้องตามความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ แต่การปรับปรุงแก้ไขของเหมาหลุนและเหมาจ้งกังช่วยทำให้การดำเนินเรื่องไม่เยิ่นเย้อ เดินเรื่องกระชัย และเป็นการขัดเกลาภาษาทำให้อ่านสนุกน่าติดตาม
[แก้] อาณาจักรสามก๊ก
ภาพแผนที่สามก๊กได้แก่วุยก๊ก จ๊กก๊กและง่อก๊ก
ในการปกครองบ้านเมืองของจีน
ราชวงศ์ฮั่นถือเป็นราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ราชวงศ์หนึ่ง ซึ่งได้แผ่ขยายอาณาเขตออกไปไกล ขับไล่ชนเผ่านอกด่านออกไปจากภาคเหนือของประเทศได้ ด้านทิศเหนือครอบครอง
แมนจูเรียและ
เกาหลีบางส่วน ทิศใต้ครองมณฑล
กวางตุ้งและ
กว่างซีรวมถึงตอนเหนือของ
เวียดนาม ครั้นถึงปลายสมัย
ราชวงศ์ฮั่นตะวันออกหรือตงฮั่น จักรพรรดิทรงอ่อนแอ
ขันทีมีอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ขุนศึกหัวเมืองต่าง ๆ พากันกระด้างกระเดื่องและตั้งกองกำลังส่วนตัวขึ้น ก่อความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านไปทั่วแผ่นดิน ราษฎรได้รับความเดือนร้อนไปทั่วจนทำให้เกิดกบฏโจรโพกผ้าเหลืองขึ้น กลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ทำสงครามแย่งชิงอำนาจกันโดยไม่สนใจรัฐบาลกลาง ในที่สุดแผ่นดินจีนแตกออกเป็นสามก๊กอย่างชัดเจนภายหลังจากที่
โจโฉพ่ายแพ้แก่
เล่าปี่และ
ซุนกวนใน
การศึกที่ผาแดง เมื่อปี
พ.ศ. 751
วุยหรือเฉาเวย (
จีน:
曹薇) จัดเป็นก๊กที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจมากที่สุดในบรรดาสามก๊ก ในระหว่างปี
พ.ศ. 763 -
พ.ศ. 808 (ปี ค.ศ. 220-265) วุยก๊กครอบครองพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศจีน ปกครองโดยโจโฉ ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นราชวงศ์วุยโดยพระเจ้าโจผีและได้สถาปนาโจโฉเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์วุยอีกพระองค์หนึ่ง วุยก๊กปกครองอาณาจักรโดยจักพรรดิสืบต่อกันมาทั้งหมด 5 พระองค์ ได้แก่
[11]
- พระเจ้าโจผี ปกครองวุยก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 763 - 769
- พระเจ้าโจยอย ปกครองวุยก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 769 - 782
- พระเจ้าโจฮอง ปกครองวุยก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 782 - 797
- พระเจ้าโจมอ ปกครองวุยก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 797 - 803
- พระเจ้าโจฮวน ปกครองวุยก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 803 - 808
วุยก๊กถูกโจมตีและโค่นล้มราชวงศ์วุยโดยสุมาเอี๋ยน ซึ่งต่อมาภายหลังได้สถาปนาราชวงศ์จิ้นขึ้นแทนและรวบรวมแผ่นดินที่แบ่งเป็นก๊กต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
จ๊กหรือสู่ฮั่น (
จีน:
属汉) เป็นหนึ่งในอาณาจักรสามก๊ก ปกครองโดย
พระเจ้าเล่าปี่ เชื้อพระวงศ์แห่ง
ราชวงศ์ฮั่น ในระหว่างปี
พ.ศ. 764 -
พ.ศ. 806 (ปี ค.ศ. 221-263) จ๊กก๊กครอบครองพื้นที่ทางภาคตะวันตกของประเทศจีน บริเวณ
มณฑลเสฉวน จ๊กก๊กปกครองอาณาจักรโดยจักรพรรดิสืบต่อกันมาทั้งหมด 2 พระองค์ ได้แก่
[12]
- พระเจ้าเล่าปี่ ปกครองจ๊กก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 764 - 766
- พระเจ้าเล่าเสี้ยน ปกครองจ๊กก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 766 - 806
จ๊กก๊กมีอายุได้แค่เพียง 42 ปีก็ล่มสลายลงด้วยกองทัพของวุยก๊ก เนื่องจากการปกครองแผ่นดินที่ล้มเหลวเพราะความโง่เขลาเบาปัญญาไร้ความสามารถวันๆเอาแต่เสพสุขของพระเจ้าเล่าเสี้ยน
ง่อหรืออาณาจักรอู่ตะวันออก (
จีน:
東吳) เป็นหนึ่งในอาณาจักรสามก๊ก ปกครองโดย
พระเจ้าซุนกวน ในระหว่างปี
พ.ศ. 765 -
พ.ศ. 823 (ปี ค.ศ. 222-280) ง่อก๊กครอบครองพื้นที่ทางด้านตะวันออกของประเทศจีน ทางบริเวณตอนใต้ของแม่น้ำแยงซี ซึ่งคือพื้นที่บริเวณรอบ ๆ เมืองหนานจิงในปัจจุบัน ง่อก๊กปกครองอาณาจักรโดยจักรพรรดิสืบต่อกันมาทั้งหมด 4 พระองค์ ได้แก่
[13]
- พระเจ้าซุนกวน ปกครองง่อก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 765 - 795
- พระเจ้าซุนเหลียง ปกครองง่อก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 795 - 801
- พระเจ้าซุนฮิว ปกครองง่อก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 801 - 807
- พระเจ้าซุนโฮ ปกครองง่อก๊กในระหว่างปี พ.ศ. 807 - 823
ง่อก๊กเป็นอาณาจักรสุดท้ายในบรรดาอาณาจักรสามก๊กที่ล่มสลายโดยกองทัพของสุมาเอี๋ยนและราชวงศ์จิ้น
[แก้] เนื้อเรื่องย่อสามก๊ก
ภายหลังจากที่
พระเจ้าฮั่นโกโจ ได้สถาปนา
ราชวงศ์ฮั่นจนมีการสืบทอดราชวงศ์มามากกว่าสี่ร้อยปี ในยุคสมัยของ
พระเจ้าเลนเต้เกิดการขัดแย้งกันเองภายในราชวงศ์ฮั่นจนถึงการแย่งชิงอำนาจและราชสมบัติ พระเจ้าเลนเต้ไม่ทรงตั้งตนใน
ทศพิธราชธรรม ขาดความเฉลียวฉลาด เชื่อแต่คำของเหล่า
สิบขันที เหล่าขุนนางถืออำนาจขูดรีดราษฏรจนได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว โจรผู้ร้ายชุกชุมปล้นสะดมไปทั่วแผ่นดิน ดังจดหมายเหตุของจีนตอนหนึ่งได้บันทึกไว้ว่า
"ขุนนางถือราษฏรดั่งหนึ่งอริราชศัตรู ขูดรีดภาษีอากรโหดร้ายยิ่งกว่าเสือ"[14] เกิดกบฎชาวนานำโดยเตียวก๊ก หัวหน้ากลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองออกปล้นชิงเมืองต่าง ๆ จนเกิดความวุ่นวายแตกแยกแผ่นดินเป็นก๊กเป็นเหล่าจำนวนมาก
ภายหลังพระเจ้าเลนเต้สวรรคต เกิดการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างพระราชโอรสทั้งสองพระองค์แต่ต่างพระชนนี
พระเจ้าหองจูเปียนได้สืบทอดราชสมบัติโดยมีพระนางโฮเฮาผู้เป็นมารดาเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แต่ในราชสำนักคงเกิดความวุ่นวายจากเหล่าขันทีทั้งสิบ
โฮจิ๋นผู้เป็นพระเชษฐาของพระนางโฮเฮาจึงวางอุบายให้
ตั๋งโต๊ะมาช่วยกำจัดเหล่าขันที แต่โฮจิ๋นกลับถูกลวงไปฆ่าทำให้เหล่าทหารของโฮจิ๋นยกกำลังเข้าวังหลวงเพื่อแก้แค้นจนเกิดจลาจลขึ้น ภายหลังตั๋งโต๊ะยกทัพมาถึงวังหลวงและฉวยโอกาสในขณะที่เกิดความวุ่นวายยึดอำนาจมาเป็นของตน สั่งถอดพระเจ้าหองจูเปียนและปลงพระชนม์ และสถาปนา
พระเจ้าหองจูเหียบขึ้นแทน ทรงพระนามว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ และสถาปนาตนเองเป็นพระมหาอุปราช มีฐานะเป็นบิดาบุญธรรมของพระเจ้าเหี้ยนเต้
ตั๋งโต๊ะถืออำนาจเป็นใหญ่ในราชสำนัก สั่งประหารผู้ที่ไม่เห็นด้วยกันตนเองจนเหล่าขุนนางพากันโกรธแค้น
โจโฉพยายามลอบฆ่าตั๋งโต๊ะแต่ไม่สำเร็จจนต้องหลบหนีไปจากวังหลวงและลอบปลอมแปลงราชโองการ นำกำลังทัพจากหัวเมืองต่าง ๆ มากำจัดตั๋งโต๊ะ แต่กองทัพหัวเมืองกลับแตกแยกกันเองจึงทำให้การกำจัดตั๋งโต๊ะล้มเหลว
อ้องอุ้นจึงวางแผนยก
เตียวเสี้ยนบุตรสาวบุญธรรมให้แก่ตั๋งโต๊ะและลิโป้บุตรบุญธรรม จนตั๋งโต๊ะผิดใจกับลิโป้เรื่องนางเตียวเสี้ยน ทำให้ลิโป้แค้นและฆ่าตั๋งโต๊ะ หลังจากตั๋งโต๊ะตาย
ลิฉุยและ
กุยกีได้เข้ายึดอำนาจอีกครั้งและฆ่าอ้องอุ้นตาย รวมทั้งบังคับพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้อยู่ภายใต้อำนาจ สร้างความคับแค้นใจให้แก่พระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นอย่างยิ่ง จนมีรับสั่งให้เรียกโจโฉมาช่วยกำจัดลิฉุย กุยกีและเหล่าทหาร
โจโฉเข้าปราบปรามกบฎและยึดอำนาจในวังหลวงไว้ได้ แต่เกิดความกำเริบเสิบสานทะเยอทะยานถึงกับแต่งตั้งตนเองเป็นมหาอุปราช ควบคุมพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้อยู่ภายใต้อำนาจอีกครั้ง ข่มเหงรังแกเหล่าขุนนางที่สุจริต พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงใช้พระโลหิตเขียนสาสน์ลับไปยังเหล่าขุนนางที่จงรักภักดีเพื่อให้ช่วยกำจัดโจโฉแต่ถูกจับได้ทำให้เหล่าขุนนางถูกฆ่าตายหมด ความอสัตย์ของโจโฉแพร่กระจายไปทั่วทำให้บรรดาหัวเมืองต่าง ๆ พากันแข็งข้อไม่ยอมขึ้นด้วย โจโฉจึงนำกำลังยกทัพไปปราบปรามได้เกือบหมด แต่ไม่สามารถปราบปราม
เล่าปี่และ
ซุนกวนได้ เล่าปี่เป็นเชื้อสาย
ราชวงศ์ฮั่นมีศักดิ์เป็นอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่มีความยากจนอนาถา มีคนดีมีฝีมือไว้เป็นทหารหลายคนแต่มีกำลังไพร่พลน้อยทำให้ต้องคอยหลบหนีศัตรูอยู่เสมอ จนได้
จูกัดเหลียงมาเป็นที่ปรึกษาช่วยวางแผนกำลังรบให้ จึงสามารถตั้งตนเป็นใหญ่ในเมืองเสฉวนได้ สำหรับซุนกวนเป็นเจ้าเมืองกังตั๋งโดยการสืบสกุล เป็นเจ้าเมืองที่มีศีลธรรม ปกครองบ้านเมืองด้วยความยุติธรรมจึงเป็นที่เคารพนับถือและยอมสวามิภักดิ์มากมาย ทั้งสามฝ่ายต่างทำศึกสงครามกันตลอด แต่ก็ไม่อาจเอาชนะซึ่งกันและกันได้
เมื่อโจโฉตาย
โจผีบุตรชายขึ้นครองราชสมบัติแทน สั่งปลดพระเจ้าเหี้ยนเต้และสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ ทรงพระนามว่าพระเจ้าเหวินตี้ ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่คือ
ราชวงศ์วุย เล่าปี่ซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่นก็สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิสืบทอดราชวงศ์ฮั่น โดยใช้เมืองเสฉวนเป็นเมืองหลวง ซุนกวนซึ่งไม่ยอมขึ้นกับพระเจ้าโจผีหรือเล่าปี่จึงตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิ ปกครองเมืองกังตั๋ง ทำให้ประเทศจีนในขณะนั้นแตกแยกออกเป็นสามอาณาจักรหรือที่เรียกขานกันว่าสามก๊กได้แก่ฝ่ายจ๊กก๊กของเล่าปี่ วุยก๊กของโจผีและง่อก๊กของซุนกวน ภายหลังจากพระเจ้าโจผี พระเจ้าเล่าปี่และพระเจ้าซุนกวนสวรรคต เชื้อสายราชวงศ์เริ่มอ่อนแอ
สุมาเจียวซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นมหาอุปราชของวุยก๊ก สามารถเอาชนะจ๊กก๊กและควบคุมตัว
พระเจ้าเล่าเสี้ยนมาเป็นเชลยได้สำเร็จ หลังจากสุมาเจียวตาย
สุมาเอี๋ยนบุตรชายสืบทอดตำแหน่งแทนและช่วงชิงราชสมบัติของวุยก๊กมาจาก
พระเจ้าโจฮวนและแต่งตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิ ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่คือ
ราชวงศ์จิ้น พระเจ้าสุมาเอี๋ยนสามารถปราบ
พระเจ้าซุนโฮแห่งง่อก๊กให้ยินยอมสวามิภักดิ์ได้สำเร็จ แผ่นดินจีนที่เคยแตกแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่ามายาวนาน กลับรวมกันเป็นอาณาจักรเดียวได้ดั่งเดิม
[แก้] ลำดับเหตุการณ์สำคัญ
[แก้] กลศึกสามก๊ก
ใน
วรรณกรรมจีนอิง
ประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก มีการทำศึก
สงครามมากมายหลายต่อหลายครั้ง การต่อสู้ทางด้านสติปัญญาและกุศโลบายในการแสดงแสนยานุภาพแก่ศัตรู การปกครองไพร่พลรวมทั้งผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งการนำกำลังไพร่พลทหารในการบุกโจมตีและยึดครองสถานที่ หรือทางการพิชิตชัยชนะทางการ
ทูตในการเจรจาต่อรองผูกสัมพันธ์ไมตรีกับแคว้นอื่น การทหาร การเมือง การเศรษฐกิจ การบริหารปกครองบ้านเมือง การใช้คนอย่างถูกต้อง การโจมตีทางด้านจิตใจรวมทั้งการนำเอาทรัพยากรทุกอย่างที่มี เพื่อนำมาใช้ในการทำศึกสงครามเพื่อแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่ซึ่งกันและกัน
[15]
แต่มีบ่อยครั้งที่กำลังทหารที่มีกำลังไพร่พลน้อยกว่ากลับเอาชนะกำลังทหารที่มีกำลังไพร่พลมากกว่าได้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือกลยุทธ์ในด้านยุทธศาสตร์และการชำนาญ
ภูมิศาสตร์สถานที่ในการทำศึกสงคราม
[15] ในสามก๊กมีการใช้กลศึกจำนวนมากมายในการหลอกล่อศัตรูเพื่อชัยชนะ การต่อสู้ทางสติปัญญา สุดยอดแห่งกุศโลบายในการแสดงศักยภาพของกองทัพ แม่ทัพที่นำทัพในสนามรบนอกจากจะมีฝีมือในการที่สูงส่งแล้ว จะต้องรู้หลัก
ตำราพิชัยสงคราม เสนาธิการที่ปรึกษาทัพจะต้องรอบรู้ในทุก ๆ ด้าน รู้แจ้งในกลศึกต่าง ๆ ของศัตรู รู้ถึงจิตใจของทหารใต้บังคับบัญชา และรู้จักฉกฉวยจังหวะสำคัญในการโจมตีจึงจะสามารถเอาชนะศัตรูได้
จูกัดเหลียง จิวยี่ สุมาอี้ ลกซุน ตั๋งโต๊ะ โจโฉ กุยแกและบุคคลอื่นอีกมากมาย ล้วนแต่ชำนาญกลศึกในการทำศึกสงคราม ซึ่งกลศึกสำคัญและเป็นมาตรฐานของการทำ
สงครามสามก๊ก
[แก้] สงครามสามก๊ก
[แก้] ศิลปะการใช้คน
[แก้] ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์
[แก้] ตัวละครหลัก
- เล่าปี่
- เล่าปี่ (จีน: 劉備) มีชื่อรองเสวียนเต๋อแปลว่าผู้มีคุณธรรมอันประเสริฐ เรียกชื่อเต็มว่า "ห้วนจงกุ๋นยี่เซงเตงเฮาเล่าปี่" รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าขาว ใจคอกว้างขวาง นิสัยสุภาพเรียบร้อย เยือกเย็นและมีความกตัญญูสูง พูดน้อยยิ้มยาก ไม่แสดงความรู้สึกออกทางสีหน้า เชี่ยวชาญในการใช้กระบี่คู่ เป็นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่นมีศักดิ์เป็นอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ บิดาเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก มีฐานะยากจนต้องยังชีพด้วยการทอเสื่อขาย ภายหลังได้พบกับกวนอูและเตียวหุยและสาบานตนเป็นพี่น้องกันร่วมออกปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง เล่าปี่ไม่ประสบความสำเร็จมาตลอดชีวิตจนได้จูกัดเหลียงมาเป็นที่ปรึกษา สามารถตั้งตัวเป็นใหญ่ได้ที่เสฉวนครอบครองอาณาจักรจ๊กก๊ก แต่งตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิทรงพระนามจักรพรรดิเจาเลี่ยแห่งราชวงศ์ฮั่น เมื่อกวนอูและเตียวหุยถูกฆ่าตาย จึงยกทัพไปแก้แค้นซุนกวนแต่ถูกตีย่อยยับกลับมาและประชวรหนักจนสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 766 ที่มณฑลเสฉวน รวมพระชนมายุ 63 ชันษา
- กวนอู
- กวนอู (จีน: 關羽) เป็นชาวอำเภอไก่เหลียง มีชื่อรองหวินฉาง รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าแดงเหมือนผลพุทราสุก นัยน์ตายาวรี หนวดเครางามถึงอก มีง้าวยาว 11 ศอกหนัก 82 ชั่งเป็นอาวุธคู่กาย เรียกว่าง้าวมังกรเขียว มีกำเนิดในครอบครัวนักปราชญ์ เชี่ยวชาญด้านคัมภีร์พิชัยสงคราม เก่งกาจวิทยายุทธ จงรักภักดี กตัญญูและซื่อสัตย์เป็นเลิศ ภายหลังได้พลั้งมือฆ่าปลัดอำเภอและน้าชายตายจนต้องหลบหนีและพบกับเล่าปี่และเตียวหุยจนสาบานตนเป็นพี่น้องกัน ร่วมทำศึกกับเล่าปี่มาโดยตลอด เป็นหนึ่งในห้าทหารเสือของเล่าปี่ ครองเมืองเกงจิ๋วร่วมกับกวนเป๋งบุตรบุญธรรมและจิวฉอง ภายหลังถูกแผนกลยุทธของลกซุนและลิบอง จนเสียเมืองเกงจิ๋ว กวนอูคับแค้นใจที่เสียทีลกซุนและลิบองจึงนำทัพไปตีเกงจิ๋วเพื่อแย่งคืน แต่ต้องหลุมพลางและถูกจับได้พร้อมกวนเป๋งที่เขาเจาสันและถูกประหารในปี พ.ศ. 762 รวมอายุได้ 59 ปี
- เตียวหุย
- เตียวหุย (จีน: 張飛) เป็นชาวเมืองตุ้นกวน มณฑลเหอเป่ย รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าดำ ศีรษะโต นัยน์ตาพอง เสียงดังเหมือนฟ้าผ่า มีฝีมือในการรบสูงแต่มีจุดอ่อนที่นิสัยใจร้อน วู่วาม เสียการงานเพราะสุราบ่อยครั้ง มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ต่อพี่น้อง ชำนาญการใช้ทวนที่มีลักษณะคล้ายกริช เดิมเป็นคนฆ่าหมูขาย ภายหลังได้พบกับเล่าปี่และกวนอูจนสาบานตนเป็นพี่น้องกัน ร่วมทำศึกกับเล่าปี่มาโดยตลอด เป็นหนึ่งในห้าทหารเสือของเล่าปี่ อายุน้อยกว่าเล่าปี่ 6 ปี น้อยกว่ากวนอู 5 ปี เมื่อกวนอูถูกฆ่าตาย เตียวหุยโกรธแค้นมาก ทวงสัญญาที่สาบานไว้ในสวนท้อและรบเร้าให้เล่าปี่ยกทัพไปตีซุนกวน แต่จูกัดเหลียงห้ามปราบไว้ ต่อมาได้สั่งลงโทษทหารสองคนคือฮอมเกียงและเตียวตัดโทษฐานเตรียมการไม่ทันและคาดโทษหนักถึงตาย เตียวหุยเสพสุราและเมาหลับในค่าย ทหารทั้งสองย้อนกลับมาฆ่าและตัดหัวก่อนไปสวามิภักดิ์ต่อง่อก๊ก รวมอายุได้ 54 ปี
- จูล่ง
- จูล่ง (จีน: 趙雲) เป็นชาวตำบลเจวินติ้ง เมืองฉางชาน มณฑลเหอเป่ย รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าขาว สวมเกราะเงินและชำนาญการใช้ทวนเป็นอาวุธ แต่เดิมจูล่งเป็นทหารของอ้วนเสี้ยว แต่ทนกับนิสัยไม่มีสัจจะของอ้วนเสี้ยวไม่ได้จึงไปอยู่กับกองซุนจ้าน ภายหลังได้พบกับเล่าปี่และซาบซึ้งในคุณธรรมและความมีน้ำใจ เมื่อกองซุนจ้านตายจึงไปทำราชการด้วย จูล่งเป็นหนึ่งในห้าทหารเสือของเล่าปี่และเป็นกำลังสำคัญในการทำศึกสงครามเกือบทุกครั้ง วีรกรรมสำคัญของจูล่งคือเมื่อเล่าปี่พ่ายแพ้โจโฉที่ฉางปั่น ครอบครัวเล่าปี่เกิดพลัดหลงในขณะหลบหนีไปทางใต้ จูล่งได้บุกตะลุยตีฝ่ากองทัพของโจโฉเพื่อค้นหาครอบครัวของเล่าปี่ และช่วยชีวิตอาเต๊าด้วยการนำมาใส่ไว้ในเกราะเสื้อที่บริเวณหน้าอก อาศัยกำลังตัวคนเดียวตีฝ่าตะลุยกองทัพ5แสนของโจโฉและนำอาเต๊ามาคืนให้แก่เล่าปี่ได้สำเร็จ จนเป็นที่เลื่องลือกล่าวขานไปทั่วแผ่นดินจนถึงปัจจุบัน จูล่งเป็นขุนศึกนักรบตั้งแต่วัยหนุ่มจนถึงวัยชรา และเสียชีวิตในปีศักราชเจี้ยนซิ่ง ปีที่ 18 รวมอายุได้ 72 ปี
- จูกัดเหลียง
- จูกัดเหลียง (จีน: 孔明) มีชื่อรองขงเบ้ง เกิดในปี พ.ศ. 724 ปีเดียวกับพระเจ้าเหี้ยนเต้ เป็นชาวตำบลหยางตู เมืองหลางเยีย มณฑลซานตง สูง 6 ศอก ใบหน้าขาวเหมือนหยก มักถือพัดขนนกคู่กายตลอดเวลา ได้รับการยกย่องถึงการเป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร ฉายาฮกหลงหรือมังกรหลับ รักความถูกต้องยุติธรรม ชอบสันโดษ สติปัญญาเฉียบแหลม ชำนาญตำราพิชัยสงคราม รอบรู้สภาพภูมิประเทศและดินฟ้าอากาศ เล่าปี่ได้เชิญให้ไปช่วยทำราชการถึงสามครั้ง และเป็นผู้เสนอแผนหลงจงเตวัย แบ่งแยกแผ่นดินจีนออกเป็นสามก๊กเพื่อคานอำนาจซึ่งกันและกัน รับใช้ราชวงศ์ฮั่นถึงสองรุ่น จูกัดเหลียงได้รับการดำรงตำแหน่งเป็นมหาอุปราชแห่งอาณาจักรจก หลังจากพระเจ้าเล่าปี่สิ้นพระชนม์ จูกัดเหลียงได้ดูแลอาณาจักรจกเป็นอย่างดี พร้อมยังกรีธาทัพขึ้นเหนือตีอาณาจักรวุ่ย 5 ครั้ง แต่เสียดายนักที่ความฝันของเขาก็ไปได้แค่ครึ่งทางในการกรีธาทัพครั้งที่6 จูกัดเหลียงเสียชีวิตเมื่ออายุได้ 54 ปี ภายหลังจากตรากตรำการศึกสงครามมาตลอดชีวิต
- โจโฉ
- โจโฉ (จีน: 曹操) มีชื่อรองเม่งเต๊กหรือเมิ่งเต๋อ เรียกชื่อเต็มว่า "โจเม่งเต๊กโฉ" เป็นลูกบุญธรรมของขันทีในวังหลวง แต่เดิมแซ่แฮหัวและคาดว่าน่าจะเกิดจากความแตกแยกในตระกูล ทำให้แยกออกมาเป็นแซ่โจ รูปร่างสูงใหญ่ คิ้วเล็ก หนวดยาว สติปัญญาเฉลียวฉลาด ชำนาญด้านอักษรศาสตร์และตำราพิชัยสงคราม ลุ่มหลงสุรานารี ในวัยเด็กมีนิสัยเกเร ชอบเอาชนะผู้อื่นและตั้งตนเป็นหัวหน้าเสมอ มีหมอดูเคยทำนายโชคชะตะของโจโฉว่า "โจโฉจะสามารถครอบครองโลกได้ แต่โลกก็จะลุกเป็นไฟเพราะความฉลาดปราดเปรื่องของตนเอง"
- โจผี
- โจผี (จีน: 曹操) พระนามรอง จื่อหวน เป็นพระโอรสองค์รองในพระเจ้าโจโฉ ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรวุ่ย พระเจ้าโจผีทรงพระอัฉริยะภาพวิชาศิลปะวิทยาและวิชาการสงคราม พระองค์ทรงต่อสู้เคียงคู่พระบิดาแต่ยุคแรกเริ่ม หลังจากโจโฉเสียชีวิต พระเจ้าโจผีได้กลายเป็นผู้นำของทัพของโจโฉ เข้ายึดอำนาจของพระเจ้าเหี้ยนเต้พร้อมบังคับให้พระเจ้าเหี้ยนเต้สละบัลลังก์ และปราบดาภิเศกตนเป็นปฐมกษัติรย์แห่งอาณาจักรวุ่ยในที่สุด
- สุมาอี้
- สุมาอี้ (จีน: 司马懿) มีชื่อรองว่า ชงต๊ะ มีลักษณะ แววตาแหลมเล็กคล้ายตาเหยี่ยว สุมาอี้เป็นคนเฉลียวฉลาด ชำนาญตำราพิชัยสงคราม ใจคอหนักแน่นแต่ก็เด็ดขาดในการตัดสินใจ เป็นมหาอุปราชคนสำคัญของอาณาจักรวุ่ยพร้อมรับใช้พระเจ้าแผ่นดินอาณาจักรวุ่ยถึง 4พระองค์ ทั้งนี้สุมาอี้เป็นคู่ปรับคนสำคัญของจูกัดเหลียงและสู้รบปรบมือกับจูกัดเหลียงได้ผลผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอยู่เสมอถึง 5ครั้ง และเผด็จศึกจูกัดเหลียงอย่างเด็ดขาดได้ในศึกครั้งที่6 หลังจากจูกัดเหลียงเสียชีวิต สุมาอี้ยังคงรับมือสู้กับเกียงอุย อดีตแม่ทัพอาณาจักรวุ่ยที่ฝากตัวมาเป็นศิษย์ของจูกัดเหลียงจนได้รับการดำรงตำแหน่งเป็นอุปราชแห่งอาณาจักรจกที่สานต่อปณิธานของจูก้ดเหลียง
- ซุนกวน
- ซุนกวน (จีน: 孫權) มีชื่อรองจ้งโหมว เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นกังตั๋ง บุตรชายคนที่สองของซุนเกี๋ยน น้องชายซุนเซ็ก ซุนกวนครองเมืองกังตั๋งต่อจากซุนเซ็กด้วยอายุเพียง 18 ปี ไม่ชำนาญการศึกสงคราม แต่มีฝีมือในการปกครองคนสูง มีขุนนางและทหารฝีมือดีไว้ในครอบครองเช่น จิวยี่ โลซก ลกซุน ลิบอง เตียวเจียวและขุนนางเหล่าทหารฝีมือดีอีกเป็นจำนวนมาก ซุนกวนร่วมมือกับเล่าปี่ทำสงครามกับโจโฉในศึกผาแดง แต่ภายหลังไปสวามิภักดิ์กับโจโฉ เมื่อโจผีขึ้นครองราชสมบัติต่อจากโจโฉได้แต่งตั้งซุนกวนเป็นเงาอ๋อง แต่มาถูกตัดความสัมพันธ์ในสมัยพระเจ้าโจยอย ซุนกวนแต่งตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิในปี พ.ศ. 771 ทรงพระนามพระเจ้าตงอู๋ ครองราชสมบัตินานถึง 24 ปี สิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 795 รวมพระชนมายุ 71 ชันษา
- จิวยี่
- จิวยี่ (จีน: 周瑜) ชื่อรองกงกิ่ง มหาอุปราชคนแรกแห่งอาณาจักรง่อ ที่ปรึกษาของซุนเซ็กพระเชษฐาของพระเจ้าซุนกวน ครั้นก่อนซุนเซ็กจะเสียชีวิตก็ได้สั่งเสียจิวยี่ให้ดูแลอาณาจักรง่อก๊กและซุนกวน ต่อมาในสมรภูมิผาแดงจิวยี่ได้จับมือร่วมรบกับจูกัดเหลียง เอาชนะทัพหลวงของโจโฉได้สำเร็จ กล่าวกันนักว่าจิวยี่ริษยาจูกัดเหลียงแต่ข้อเท็จจริงจิวยี่และจูกัดเหลียงมิได้มีอคติแก่กันเลย
- ลกซุน
- ลกซุน (จีน: 陆逊) มหาอุปราชคนที่4 แห่งอาณาจักรง่อ มีสติปัญญาเฉียบแหลม สามารถเอาชนะขุนศึกที่มีประสบการณ์อย่างกวนอูและพระเจ้าเล่าปี่ ทำให้ทั้งกวนอูเสียชีวิตและเล่าปี่เสียชีวิตและสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมาตามลำดับ ภายหลังถูกปลดจากตำแหน่งเพราะขัดแย้งกับพระเจ้าซุนกวนในเรื่องของการแต่งตั้งมกุฏราชกุมาร ตรอมใจจนเสียชีวิตในที่สุด
- ตั๋งโต๊ะ
- ตั๋งโต๊ะ (จีน: 董卓) ชื่อรองจ้งหยิ่ง มหาอุปราชแห่งราชวงศ์ฮั่นในรัชสมัยพระเจ้าเหี้ยนเต้ หลังจากการปราบปราม10ขันที ตั๋งโต๊ะก็ก้าวสู่การเป็นทรราชย์ผู้ยิ่งใหญ่จนแผ่นดินเดือดเป้นไฟในเวลาต่อมา ท้ายที่สุดเขาก็ถูกสังหารโดยลิโป้เนื่องด้วยอุบายของเตียวเสี้ยนและอ้องอุ้น
- ลิโป้
- ลิโป้ (จีน: 吕布) ชื่อรองเฟยเสียง เป็นสุดยอดขุนพลของตั๋งโต๊ะและเป็นที่เกรงขามไปทั่วแผ่นดิน ครั้งลิโป้ต่อสู้กับจูล่ง จูล่งใกล้แพ้แต่เล่าปี่มาช่วยไว้ได้ทัน แม้ว่าลิโป้จะเป็นที่เกรงขามไปทั่วแผ่นดินแต่ลิโป้เป็นคนอกตัญญูฆ่าผู้มีพระคุณมากมายรวมทั้งตั๋งโต๊ะด้วยเช่นกัน ท้ายที่สุดยอดขุนพลลิโป้ผู้นี้ต้องพ่ายแพ้ให้แก่โจโฉและเล่าปี่ คราวที่ต้องประหารลิโป้ ลิโป้ได้ขอชีวิตแก่เล่าปี่ แต่เล่าปี่ก็ยืนยันให้โจโฉประหารเพราะความอกตัญญูของตนเอง
- เตียวเสี้ยน
- เตียวเสี้ยน (จีน: 貂蝉) บุตรสาวบุญธรรมของอ้องอุ้น เตียวเสี้ยนเป็นคนกตัญญูกตเวทีต่ออ้องอุ้นและแผ่นดิน อ้องอุ้นจึงให้อุบายนางไปยุยั่วให้ลิโป้และตั๋งโต๊ะแตกกันจนนางได้เป็นภรรยาของตั๋งโต๊ะและลิโป้ ต่อมาแผนการของอ้องอุ้นสำเร็จและตั๋งโต๊ะเสียชีวิต นางเตียวเสี้ยนจึงไปอาศัยกับลิโป้ และหายสาปสูญไป บ้างกล่าวว่านางไม่ได้ไปอาศัยอยู่กับลิโป้แต่ไปอาศัยอยู่กับบิดาอย่างเก่า บ้างกล่าวว่านางหลบหนีไปหลังจากจบสิ้นภารกิจยุให้ลิโป้กับตั๋งโต๊ะแตกกัน บ้างถูกสังหารหรือหลบหนีไปได้เมื่อโจโฉและเล่าปี่จับกุมลิโป้ บ้างว่าถูกอ้องอุ้นสังหาร บ้างว่าลิฉุยกุยแกสังหาร บ้างกล่าวว่านางไม่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์แต่แรกแล้ว
[แก้] การแปลเป็นภาษาต่าง ๆ
การแปลสามก๊กเป็นภาษาต่าง ๆ นั้น ในหนังสือ "ตำนานสามก๊ก" พระนิพนธ์ใน
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงรวบรวมประวัติการแปลหนังสือสามก๊กเป็นภาษาต่าง ๆ จนถึง
พ.ศ. 2470 ซึ่งเป็นปีที่ทรงพระนิพนธ์หนังสือเล่มนี้ขึ้น ดังนี้
[16]
นอกจากนี้ยังทรงเชื่อว่ายังมีสามก๊กที่แปลในภาษาอื่นที่ยังสืบความไม่ได้ เช่น
ภาษามองโกล เป็นต้น
[17]
ในประเทศไทย สามก๊กได้รับการแปลและเรียบเรียงเป็นร้อยแก้วในปี
พ.ศ. 2345 โดยซินแสผู้รู้ภาษาจีนได้แปลออกมาให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เพื่อนำมาเรียบเรียงเป็นภาษาไทยอีกครั้งหนึ่งก่อนทำการตีพิมพ์ ดังนั้นเมื่อนำสามก๊กของหลอกว้านจงซึ่งเป็นต้นฉบับ นำมาเปรียบเทียบเคียงกับภาษาไทยที่แปลโดย
สังข์ พัธโนทัย ซึ่งเป็นการแปลออกมาในรูปแบบของ
ตำราพิชัยสงคราม หรือสามก๊ก ฉบับวณิพกของยาขอบ หรือฉบับสามก๊ก ฉบับภาษาอังกฤษของบริวิต เทเลอร์ จะเห็นว่าเนื้อและความหมายของบทประพันธ์ในหลายตอนมีคลาดเคลื่อนแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการคลาดเคลื่อนของความหมายในสามก๊กนั้นเกิดจากผู้แปลโดยตรง
[18] อย่างไรก็ดี ในสมัย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
วรรณคดีสโมสร ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี
พ.ศ. 2457 ได้ตัดสินให้ "สามก๊ก" เป็นวรรณคดีประเภทเรียงความยอดเยี่ยมประเภทนิทาน เสมอกับเรื่อง
ราชาธิราช เนื่องจากมีการใช้สำนวนภาษาที่สละสลวย เนื้อเรื่องมีความสนุกสนานและทอดแทรกแฝงแง่คิดต่าง ๆ ไว้มากมาย โดยถือว่าสามก๊กนั้น เป็นตำราสำหรับใช้ในการศึกษากลยุทธ์ในการทำ
สงครามและประวัติศาสตร์ของจีนได้เป็นอย่างดี
[19]
[แก้] ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน)
สามก๊กฉบับหลอกว้านจงได้มีการแปลเป็น
ภาษาไทยครั้งแรกในปี
พ.ศ. 2345 ในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ซึ่งทรงมีพระราชดำริให้จัดแปล
พงศาวดารจีนเรื่องสามก๊ก
ไซ่ฮั่น และแปล
พงศาวดารมอญเรื่อง
ราชาธิราช เพื่อให้คนไทยได้ใช้ศึกษาเป็น
ตำราพิชัยสงคราม โดยมอบหมายให้
เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นผู้อำนวยการแปลสามก๊ก มีความยาวทั้งสิ้น 95 เล่มสมุดไทย ซึ่งได้รับการสันนิษฐานว่าเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ไม่ได้แปลสามก๊กจากต้นฉบับทั้งหมด เนื่องจากการใช้สำนวน ภาษา และรูปแบบการแปลในตอนท้ายเรื่องเป็นคนละสำนวนกับตอนต้นเรื่อง สามก๊กฉบับนี้ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือแบบฝรั่งครั้งแรกโดยโรงพิมพ์
หมอบรัดเล มีจำนวน 4 เล่มจบ เมื่อปี
พ.ศ. 2408 ในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว [20] ซึ่งต่อมากลายเป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และถูกนำมากล่าวถึงในบท
ละครนอกเรื่อง
คาวี ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ใน
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ความว่า
"เมื่อนั้น | ไวยทัตหุนหันมาทันตรึก |
อวดรู้อวดหลักฮักฮึก | ข้าเคยพบรบศึกมาหลายยก |
จะเข้าออกยอกย้อนผ่อนปรน | เล่ห์กลเรานี้อย่าวิตก |
ทั้งพิชัยสงครามสามก๊ก | ได้เรียนไว้ในอกสารพัด |
ย้ายกลับไปทูลพระเจ้าป้า | ว่าเรารับอาสาไม่ข้องขัด |
ค่ำวันนี้คอยกันเป็นวันนัด | จะเข้าไปจับมัดเอาตัวมา |
| บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เรื่องคาวี[21] |
เนื้อหาในบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ที่มีการกล่าวถึงตำราพิชัยสงครามและสามก๊ก นับเป็นหลักฐานการยืนยันอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความคุ้นเคยของชาวไทยที่มีต่อสามก๊ก และได้มีการค้นพบจดหมายเหตุในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ซึ่งทรงโปรดปรานบทร้อยแก้วของสามก๊กที่เป็นการแปลฉบับของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) และกลายเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้ทรงมีพระราชดำริรับสั่งให้แปลหนังสือพงศาวดารจีนเรื่องอื่น ๆ อีกหลายเรื่อง เพื่อสำหรับนำไปใช้ในการบริหารราชการบ้านเมืองสืบต่อไป
[22]
ต่อมา
สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงโปรดให้
ราชบัณฑิตยสภาชำระสอบทานต้นฉบับ แล้วจัดพิมพ์เป็นหนังสือพระราชทานในงานพระเมรุ
สมเด็จพระปิตุฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ต่อมาโรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากรได้ขอประทานอนุญาตจัดพิมพ์จำหน่าย ในชื่อ "หนังสือสามก๊ก ฉบับราชบัณฑิตยสภา" ในปี
พ.ศ. 2471 ซึ่งสามก๊กที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายหลังจากนั้น พิมพ์ตามต้นฉบับหนังสือสามก๊ก ฉบับราชบัณฑิตยสภามาโดยตลอด จนกระทั่งมีการตรวจสอบและชำระสอบทานต้นฉบับอีกครั้งด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักพิมพ์ดอกหญ้ากับ
หอสมุดแห่งชาติ[23]
[แก้] ฉบับวณิพก
สามก๊ก ฉบับวณิพก โดยสำนักพิมพ์ผดุงศึกษา
สามก๊ก ฉบับวณิพก ผลงานการประพันธ์ของ
ยาขอบ เป็นการเล่าเรื่องสามก๊กใหม่ในแบบฉบับของตนเอง และเน้นตัวละครเป็นตัวไป เช่น
เล่าปี่ผู้พนมมือแด่ชนทุกชั้น,
โจโฉผู้ไม่ยอมให้โลกทรยศ,
จิวยี่ผู้ถ่มน้ำลายรดฟ้า,
ตั๋งโต๊ะผู้ถูกแช่งทั้งสิบทิศ,
ลิโป้อัศวินหัวสิงห์,
จูกัดเหลียงผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน,
เตียวหุยคนชั่วช้าที่น่ารัก,
กวนอูเทพเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อ,
จูล่งวีรบุรุษแห่งเสียงสาน,
ยี่เอ๋งผู้เปลือยกายตีกลอง เป็นต้น อีกทั้งยังได้เพิ่มสำนวนและการวิเคราะห์ส่วนตัวเข้าไปด้วย โดยอาศัยสามก๊กฉบับภาษาอังกฤษของ
บริวิต เทเลอร์มาประกอบร่วมกับสามก๊กฉบับภาษาไทย ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์ผดุงศึกษา ในปี
พ.ศ. 2529 จำนวน 2 เล่ม และตีพิมพ์ซ้ำอีกครั้งในปี
พ.ศ. 2530 -
พ.ศ. 2540 โดย
สำนักพิมพ์ดอกหญ้าในรูปแบบของหนังสือชุดจำนวน 8 เล่ม และตีพิมพ์เป็นเครื่องระลึกในวาระครบรอบ 100 ปีชาตกาลของยาขอบโดย
สำนักพิมพ์แสงดาว ในปี พ.ศ. 2551 จัดพิมพ์เป็นหนังสือปกแข็งสองเล่ม
[แก้] ฉบับตำราพิชัยสงคราม
สามก๊ก ฉบับตำราพิชัยสงคราม แปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยโดย
สังข์ พัธโนทัย ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ประดู่ลาย เป็นการเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่จุดเสื่อม
ราชวงศ์ฮั่น ตั๋งโต๊ะยึดอำนาจ ฯลฯ ไปจนถึงอวสานยุคสามก๊ก การแปลในส่วนของรายละเอียดตัวละครมีไม่มาก มีการอ้างอิงตัวละครทั้งหมดในท้ายเล่ม และมีการเทียบเสียงจีนกลาง แต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน เพื่อเป็นการเปรียบเทียบรายชื่อตัวละครและสถานที่สถานที่สำคัญในเนื้อเรื่อง
[แก้] ความนิยม
นิยายสามก๊กของหลอกว้านจง ได้รับความนิยมแพร่หลายอย่างยิ่งในยุคของ
ราชวงศ์หมิง ที่ครองแผ่นดินจีนต่อจาก
ราชวงศ์หยวน โดยมีการนำไปเล่นเป็น
งิ้ว อันเป็นการแสดงที่เข้าถึงผู้คนทั่วทุกหัวระแหง และมีการแต่งตั้งให้กวนอูเป็น "เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์" ที่เป็นเทพเจ้าที่ชาวจีนและคนไทยเชื้อสายจีนให้ความเคารพบูชาและศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างมากแทนที่
งักฮุยหรือเยี่ยเฟย กวนอูได้รับการยกย่องให้เป็นถึง "จงอี้เหรินหย่งเสินต้าตี้" ซึ่งมีความหมายคือ มหาเทพบดีผู้ยิ่งใหญ่แห่งความจงรักภักดี คุณธรรมและความกล้าหาญ
[แก้] ศาลเจ้าสามก๊ก
ศาลเจ้าสามก๊ก ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่วัดอู่โหวซื่อ ที่เมือง
เฉิงตู มณฑลเสฉวน ประเทศจีน สร้างขึ้นในช่วงปลาย
ราชวงศ์จิ้นตะวันตก ด้านหลังของวัดเป็นที่ตั้งสุสานของ
พระเจ้าเล่าปี่และ
จูกัดเหลียง ซึ่งเป็นตัวละครที่มีชีวิตอยู่จริงในสามก๊ก ซึ่งเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของจีน เรื่องราวต่าง ๆ ในสามก๊กเริ่มต้นในปลายสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกของพระเจ้าเหี้ยนเต้ เนื่องจากในขณะนั้นเล่าปี่ปกครองและแต่งตั้งเสฉวนเป็นราชธานี โดยมีจูกัดเหลียงเป็นที่ปรึกษา ราษฏรใช้ชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุข แต่เมื่อเล่าปี่สวรรคตแล้ว ประชาชนต่างให้การยอมรับและนับถือจูกัดเหลียงมากกว่า จึงร่วมกันสร้างศาลเจ้าขึ้นมาเพื่อเป็นที่เคารพบูชา แต่ไม่นานทางรัฐบาลจีนเห็นว่าไม่ถูกต้องจึงมีคำสั่งให้สร้างศาลเล่าปี่ขึ้น รวมทั้งให้มีรูปปั้นขุนนาง 14 ท่านภายในศาลเจ้า
ศาลเจ้าจูกัดเหลียงภายในศาลเจ้าสามก๊ก
ศาลเจ้าสามก๊ก ก่อสร้างขึ้นในปี
พ.ศ. 766 หรือเมื่อประมาณ 1,700 ปีมาแล้ว เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์สามก๊กในสมัย
พ.ศ. 763 -
พ.ศ. 823 สร้างสร้างขึ้นโดยพระบัญชาของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเฉิงปลาย
ราชวงศ์จิ๋น ในอาณาเขตพื้นที่ประมาณ 3,700 ตารางเมตร สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ภายในศาลเจ้าสามก๊ก เป็นผลงานการก่อสร้างที่ได้รับการปรับปรุงขึนในปีที่ 11 ของจักรพรรดิคังซีแห่ง
ราชวงศ์ชิง และได้รับการยกย่องเป็น
โบราณสถานแห่งชาติของจีนในปี
พ.ศ. 2504 ต่อมาได้สร้างเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในปี
พ.ศ. 2527
ภายในศาลมีการแบ่งแยกพื้นที่ออกเป็นหลายส่วน รวมทั้งมีการแยกศาลต่าง ๆ ออกเป็นเฉพาะบุคคลคือศาลเล่าปี่ จักรพรรดิแห่งจ๊กก๊กและราชวงศ์ฮั่น ศาลเจ้ากวนอูที่เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของ 5 ทหารเสือฝ่ายบู๊ กวนอูเป็นตัวแทนของความซื่อสัตย์และกตัญญู จนได้รับการยกย่องจากชาวจีนให้เป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์และโชคลาภ ศาลเจ้าจูกัดเหลียงที่มีความโด่งดังในด้านของสติปัญญาและความฉลาดเฉลียว ภายในศาลมีรูปปั้นจูกัดเหลียงขนาดใหญ่มีอายุไม่ต่ำกว่า 700 ปี ชาวจีนเรียกกันว่า "ทาสอุ้มทรัพย์" ตามความเชื่อต่อ ๆ กันขอชาวจีน ถ้าผู้ใดได้ลูบที่รูปปั้นจูกัดเหลียงแล้วจะมีโชคลาภ จูกัดเหลียงได้ชื่อว่าเป็นกุนซือหรือที่ปรึกษาคนสำคัญของเล่าปี่ที่มีความเฉลียวฉลาด วางแผนการรบและ
กลศึกต่าง ๆ ที่มีความสลับซับซ้อน ชาวจีนส่วนใหญ่จะนับถือจูกัดเหลียงมากกว่าศาลเจ้าเล่าปี่และศาลเจ้ากวนอู จนมีการเรียกศาลเจ้าสามก๊กเป็นศาลเจ้าจูกัดเหลียงแทน นอกจากศาลเจ้าเล่าปี่ กวนอูและจูกัดเหลียงแล้ว ภายในบริเวณศาลยังมีรูปปั้นประวัติศาสตร์ของบุคคลสำคัญในสมัย
ราชวงศ์สู่ เรื่องราวต่าง ๆ จากตำนานอันยิ่งใหญ่ของสามก๊กของบุคคลอื่น ๆ อีกเช่น โจโฉ เตียวหุย และอีก 14 เสนาธิการทหารเอก
แต่เดิมสุสานของพระเจ้าเล่าปี่และจูกัดเหลียงไม่ได้อยู่ในสถานที่เดียวกัน แต่ได้มีการย้ายศาลจูกัดเหลียงจากเมืองเซ่าเฉิงมาอยู่ในบริเวณใกล้กันในยุค
ราชวงศ์เหนือ-ใต้ ในราวปี
พ.ศ. 963 -
พ.ศ. 1132 จนถึงยุค
ราชวงศ์หมิงจึงรวมสุสานและศาลเล่าปี่กับจูกัดเหลียงเข้าด้วยกัน และได้พัฒนาศาลเจ้าดังกล่าวโดยสร้างรูปปั้นขนาดใหญ่ของเล่าปี่ จูกัดเหลียง กวนอู และเตียวหุย เป็นประธานอยู่ในห้องโถงกลาง ด้านข้างมีรูปปั้นตัวละครและขุนศึกต่าง ๆ ในยุคสามก๊กประดับเรียงรายตลอดทางระเบียงเป็นที่สำหรับให้ประชาชนมาเคารพสักการะ ในเวลาต่อมาวัดอู่โหวซื่อก็กลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อศาลจูกัดเหลียงหรือศาลเจ้าสามก๊ก และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองเฉิงตูในปัจจุบัน
[24]
[แก้] อุทยานสามก๊ก
อุทยานสามก๊ก จังหวัดชลบุรี
อุทยานสามก๊ก ตั้งอยู่ที่
ตำบลโป่ง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ในอาณาเขตพื้นที่กว่า 36 ไร่ มีการจัดวางรูปแบบตามหลัก
ฮวงจุ้ยของจีน พื้นที่ทั้งหมดของอุทยานสามก๊กประกอบไปด้วยต้นไม้และสถาปัตยกรรมแบบจีนเป็นจำนวนมาก มี
หยินและ
หยางตามแบบฉบับปรัชญาแห่งความสมดุลของจีน สร้างขึ้นตามเจตนารมณ์ของคุณเกียรติ ศรีเฟื่องฟุ้ง ออกแบบโดย อาจารย์ธีรวัลย์ วรรธโนทัย และอาจารย์รณฤทธิ์ ธนโกเศศ สถาปนิกแห่งกรมศิลปากร เป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมไทยและจีนได้อย่างลงตัว
[25]
พื้นที่ตั้งของอุทยานสามก๊กเป็นพื้นที่ลาดต่ำไปทาง
ทิศใต้ มีภูเขาขนาดย่อมทอดตัวอยู่ทาง
ทิศเหนือ มีลักษณะการยกระดับขึ้นไปเป็นระยะ ๆ จนเชื่อมต่อกับบันไดทางขึ้น บริเวณโดยรอบวางผังแบบรูปทรงเรขาคณิต ตามหลักการวางผังบริเวณที่เป็นมงคลมาแต่โบราณทั้งของไทยและจีน มีซุ้มประตูทางเข้าวางเป็นตัวกั้นแบ่งพื้นที่ส่วนอนุสรณ์สถานที่อยู่ทางทิศเหนือกับส่วนบริการทางทิศใต้ วางแนวแกนตะวันออก-ตะวันตกเพื่อเป็นที่ตั้งของอาคารศาล
เจ้าแม่กวนอิมกับอาคารอเนกประสงค์ โดยมีระเบียงโค้งแบบจันทร์เสี้ยวเป็นตัวเชื่อมต่อและโอบล้อมอาคารทั้ง 3 หลังเป็นหนึ่งเดียวกัน มีสิ่งก่อสร้างแบบสถาปัตยกรรมจีนที่เรียกว่าเก๋ง จำนวน 3 อาคาร
อาคารกลางหรืออาคารประธานมีความสูงที่สุด มีทั้งหมด 4 ชั้น มุงหลังคาด้วยกระเบื้องสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งสื่อถึงท้องทะเลและท้องฟ้า มีการประดับรูปประติมากรรมเพื่อความเป็นมงคลตามหลักความเชื่อดั้งเดิมของจีนเช่น คนชราขี่สัตว์รูปร่างคล้ายไก่หรือเซียนเหญิน, มังกรสี่ขาท่านั่ง รูปร่างคล้ายสัตว์จตุบาท เรียกอีกอย่างว่า "จตุบาทพันธุ์มังกร" เป็น 1 ในบุตรชายทั้ง 9 ของพญามังกร , หงส์ สัตว์จตุบาทรูปลักษณะหงส์ ซึ่งแต่เดิมนั้นหงส์จัดเป็นส่วนประดับหลักของอุทยานสามก๊ก แต่เนื่องจากจักรพรรดิเทียบเท่าได้กับมังกร หงส์ซึ่งหมายถึงฝ่ายหญิงหรือฮองเฮา
ชั้นที่ 2 เป็นภาพวาดประวัติศาสตร์สีน้ำมัน เป็นการบันทึกเรื่องราวและชีวประวัติทั้งหมดของจูกัดเหลียง มีทั้งหมด 8 ตอนด้วยกัน และชั้นที่ 3 เป็นภาพเขียนสีน้ำมันเรื่องราวของจูกัดเหลียงในช่วงที่ 2 เป็นภาพเขียนฝาผนังยาว 100 เมตร ทั้งหมด 8 ตอน โดยฝีมือของจิตรกรชาวจีน ใช้ระยะเวลาในการเขียนภาพฝาผนังเป็นเวลานานถึง 5 ปี ชั้นที่ 4 เป็นหอแก้วสำหรับประดิษฐาน
พระบรมสารีริกธาตุ ค้นพบที่ถ้ำแห่งหนึ่งในลำพูน โดย ดร.วรภัทร ภู่เจริญ เป็นผู้มอบให้แก่อุทยานสามก๊กเพื่อเป็นที่สักการบูชา หันหน้าออกทางทะเลตามหลักฮวงจุ้ย พร้อมรูปปั้น
พระสังกัจจายน์และ
พระถังซำจั๋ง
ภายในอุทยานสามก๊ก มีระเบียงจิตรกรรมบนกระเบื้องกังไสจีน เป็นการจัดแสดงฉากจากพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊ก จำนวน 56 ตอน ความยาว 240 เมตร เป็นการคัดย่อวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊กเฉพาะในส่วนตอนที่สำคัญตั้งแต่ตอนต้นเรื่องคือเล่าปี่ กวนอูและเตียวหุย สามวีรบุรุษร่วมสาบานในสวนท้อ กระถึงตอนสุดท้ายที่สุมาเอี๋ยนได้รวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ ถือได้ว่านอกจากอุทยานสามก๊กจะได้ย่อตำนานพงศาวดารจีนที่มีความยาวเป็นอย่างมากไว้ภายในอุทยานแล้ว ยังได้นำเสนอเรื่องราวของสามก๊กผ่านระเบียงจิตรกรรม นอกจากนั้นยังมีตัวละครเอกในรูปแบบของรูปปั้นกังไสกระเบื้องประดับภายในอุทยานอีกด้วย ซึ่งอุทยานสามก๊กจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้นำเอาศิลปะความเป็นจีน นำเสนอผ่านทางรูปแบบของสถาปัตยกรรมจีนร่วมสมัยอีกด้วย
[แก้] สามก๊กในปัจจุบัน
สามก๊กเป็นวรรณกรรมจีนที่เป็นอมตะ ได้รับการกล่าวขานถึงการเป็นสุดยอดวรรณกรรมจีนที่ให้แง่คิดในเรื่องต่าง ๆ แม้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นมานานแล้วในหลายยุคสมัย แต่ชื่อของตัวละคร สถานที่หรือลักษณะท่าทางต่าง ๆ ยังเป็นที่จดจำและกล่าวขานต่อ ๆ กันมาทุกยุคสมัย ในปัจจุบันสามก๊กกลายเป็นชื่อที่คุ้นหูคนไทยมาโดยตลอดและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับสามก๊กออกมาตอบสนองความต้องการของประชาชนเป็นอย่างมาก เช่นหนังสือ ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ รวมทั้งเกมวางแผน ซึ่งได้หยิบยกเรื่องราวและตอนสำคัญบางส่วนของสามก๊กนำมาทำเป็นเกมจำนวนมาก ซึ่งกล่าวได้ว่าสามก๊กนั้นเป็นสิ่งที่สืบทอดต่อเนื่องตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษจนถึงรุ่นปัจจุบัน
[แก้] หนังสือ
สามก๊ก เป็นวรรณกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย มีผู้นำไปตีความในแง่มุมต่าง ๆ เกิดเป็นหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกับสามก๊กอีกมากมาย
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนหนังสือชุด "
สามก๊ก ฉบับนายทุน" ขึ้นเป็นทำนองล้อเลียนฉบับวณิพกของยาขอบ โดยตีความเรื่องราวในวรรณกรรมสามก๊กไปในทางตรงกันข้าม ด้วยสมมุติฐานว่าผู้เขียนเรื่องสามก๊กตั้งใจจะยกย่องฝ่ายเล่าปี่เป็นสำคัญ หากผู้เขียนเป็นฝ่ายโจโฉเรื่องก็อาจบิดผันไปอีกทางหนึ่ง งานเขียนที่สืบเนื่องจากสามก๊กของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ได้แก่
โจโฉนายกตลอดกาลและ
เบ้งเฮ็กผู้ถูกกลืนทั้งเป็น ซึ่งในหนังสือเล่มหลังนี้นำเสนอแนวคิดว่าแท้จริงแล้วเบ้งเฮ็กอาจจะเป็นบรรพบุรุษของคนไทยที่อพยพหนีลงมาจากสงครามก็ได้
นอกจากนี้ยังมีงานเขียนที่เกี่ยวเนื่องกับสามก๊กอีกมากมายเช่น สามก๊กฉบับคนเดินดินของเล่าชวนหัว สามก๊กฉบับคนขายชาติของเรืองวิทยาคม เจาะลึกสามก๊กฉบับวิจารณ์ของวิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์ CEO ในสามก๊กของเปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป เป็นต้น
[แก้] ละครโทรทัศน์
สามก๊กในแบบฉบับละครโทรทัศน์
ละครโทรทัศน์ชุด สามก๊ก เป็นละครที่ผลิตขึ้นโดย
สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของรัฐบาล
สาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อเป็นการเชิดชูวรรณกรรมอมตะของจีน โดยเริ่มถ่ายทำตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2534 ด้วยความร่วมมือกับทาง
ประเทศญี่ปุ่น ออกอากาศครั้งแรกในปี
พ.ศ. 2538 แบ่งเนื้อเรื่องออกเป็น 84 ตอน ความยาวตอนละ 44 นาที สามก๊กในแบบฉบับละครโทรทัศน์ได้รับการนำเข้ามาออกอากาศครั้งแรกใน
ประเทศไทยเมื่อกลางปี
พ.ศ. 2537 ทางสถานีโทรทัศน์
ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. โดยบริษัท
มีเดียส์ ออฟ มีเดีย จำกัด เวลาประมาณ 22.00 น. และออกอากาศซ้ำอีกครั้งทางช่อง
เอ็มวีทีวีวาไรตี้แชนแนล เมื่อต้นปี
พ.ศ. 2551
ปัจจุบันได้นำสามก๊กฉบับละครโทรทัศน์มาออกอากาศอีกครั้งทางสถานีโทรทัศน์
ไทยพีบีเอส ทุกวันจันทร์ - อาทิตย์ เวลา 22.30 น. - 23.23 น. เริ่มตั้งแต่วันที่
15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ถึงวันที่
24 เมษายน พ.ศ. 2551 และได้มีการปรับช่วงเวลาในการการออกอากาศเป็นเวลา 22.00 น. - 22.53 น. เมื่อวันที่
15 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปัจจุบัน ลิขสิทธิ์การจัดจำหน่าย
วีดีทัศน์ของละครโทรทัศน์ชุดนี้ในประเทศไทย เป็นของบริษัทมูฟวี่โฮมวิดีโอ จำกัด ในรูปแบบ
วีซีดีและ
ดีวีดี
สามก๊ก ถูกสร้างเป็นละครโทรทัศน์อีกครั้ง โดยเริ่มถ่ายทำตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 และออกฉายทางโทรทัศน์ครั้งแรกทางช่องเจียงซู ช่องอันฮุย ช่องฉงชิ่ง และช่องเทียนจิน ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2553 โดยละครชุดสามก๊ก ชุดใหม่นี้มีทั้งหมด 95 ตอน กำกับโดย เกาซีซี
[แก้] ภาพยนตร์
วรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก ถูกนำมาถ่ายทอดในรูปแบบของภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์จำนวน 3 เรื่องคือสามก๊ก ขุนศึกเลือดมังกร (
อังกฤษ:
Three Kingdoms: Resurrection of the Dragon;
จีน:
三國之見龍卸甲) สามก๊ก โจโฉแตกทัพเรือ (
อังกฤษ:
Red Cliff, The Battle of Red Cliff;
จีน:
赤壁) และ
สามก๊ก เทพเจ้ากวนอู (
อังกฤษ:
The Lost Bladesman;
จีน:
关云长)
สามก๊ก ขุนศึกเลือดมังกรนำแสดงโดย
หลิวเต๋อหัว, แม็กกี้ คิว, หงจินเป่า, แวนเนส วู, แอนดี้ อัง, ตี้หลุง กำกับการแสดงโดย แดเนียล ลี ความยาว 102 นาที ออกฉายเมื่อวันที่
3 เมษายน พ.ศ. 2551 ในประเทศไทยฉายวันที่
24 เมษายน พ.ศ. 2551 สามก๊ก ขุนศึกเลือดมังกรได้รับเสียงวิจารณ์ไปทางลบเป็นอย่างมาก เนื่องจากเนื้อเรื่องของภาพยนตร์เป็นการเจาะเฉพาะตัวละครเอกของเรื่องคือจูล่งเพียงคนเดียว โดยเป็นการเล่าเรื่องราวประวัติของจูล่งตั้งแต่วัยหนุ่มจนถึงวัยชรา รวมทั้งเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ก็ไม่ได้เป็นไปตามวรรณกรรมอีกด้วย และมีตัวละครหลายตัวที่ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะเช่น โจอิง หรือ หลอผิงอัน เป็นต้น และอีกหลายส่วนในเรื่องก็ไม่เป็นไปตามวรรณกรรมเช่นชุดเกราะของจูล่งที่ในวรรณกรรมระบุว่าสวมเกราะสีเงิน แต่ในภาพยนตร์กลับสวมเกราะที่มีลักษณะคล้ายเกราะของซามูไรมากกว่า จึงทำให้ในเว็บไซต์ IMDb ให้เครดิตภาพยนตร์เรื่องนี้เพียง 5.7 ดาว จาก 10 ดาวเท่านั้น
สามก๊ก โจโฉแตกทัพเรือ เป็นภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ขนาดยาวที่ร่วมทุนสร้างระหว่างจีนและฮ่องกง ออกฉายพร้อมกันทั่ว
ทวีปเอเชียในวันที่
10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 เพื่อต้อนรับมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2008 ที่จีนเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขัน สร้างจากวรรณกรรมชิ้นเอกของจีนเรื่อง สามก๊ก ในตอน โจโฉ แตกทัพเรือหรือศึกผาแดง อำนวยการสร้างและกำกับโดย จอห์น วู ด้วยทุนสร้างกว่า 80 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนับว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ทุนสร้างมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์เอเชีย โดยแบ่งออกเป็น 2 ภาคใหญ่ ๆ ด้วยกันเฉพาะในเอเชีย ส่วนประเทศอื่น ๆ จะฉายในตอนเดียวจบในระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง นำแสดงโดย
เหลียงเฉาเหว่ย,
ทาเคชิ คาเนชิโร่, หลินจื้อหลิง, จางเฟิงอี้, ฉางเฉิน,
เจ้า เวย, ฮูจุนและชิโด นากามูระ
สามก๊ก เทพเจ้ากวนอู เป็นภาพยนตร์ฮ่องกงอิงประวัติศาสตร์ ดัดแปลงจากวรรณกรรมเรื่อง สามก๊ก ในตอนที่กวนอูพาภรรยาของเล่าปี่ฝ่าด่าน 5 ด่านและสังหารขุนพลของโจโฉ 6 นาย นำแสดงโดย
ดอนนี่ เยน กำกับโดยอลัน มัก และเฟลิกซ์ ชอง ออกฉายเมื่อวันที่
28 เมษายน พ.ศ. 2554 และฉายในประเทศไทยเมื่อวันที่
14 กรกฎาคม พ.ศ.2554
[แก้] การ์ตูนและเกม
สามก๊กในแบบฉบับเกมคอมพิวเตอร์
วรรณกรรมสามก๊ก ถูกนำมาถ่ายทอดในรูปแบบของการ์ตูนในรูปแบบต่าง ๆ เป็นจำนวนมากเช่น การ์ตูนเรื่องสามก๊ก (
ญี่ปุ่น:
横山光輝 三国志 Yokoyama Mitsuteru Sangokushi ?) เป็น
การ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องยาว ที่แปลมาจากวรรณกรรรมอมตะของจีนเรื่องสามก๊ก วาดภาพโดย
มิตสึเทรุ โยโกยามะ ต่อมาได้ถูกสร้างเป็นอะนิเมะ ในปี
พ.ศ. 2534 ออกอากาศทางสถานี
ทีวีโตเกียวและสร้างเป็นเกมสำหรับเครื่อง
นินเทนโดดีเอส ในปี
พ.ศ. 2550
เนื้อเรื่องในการ์ตูนสามก๊กฉบับการ์ตูนญี่ปุ่นแปลมาจากหนังสือสามก๊กฉบับภาษาญี่ปุ่นของ
เออิจิ โยชิคาวะ ซึ่งมีความแตกต่างจากสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) หรือสามก๊กฉบับวณิพกของยาขอบเล็กน้อย สามก๊กเป็นนิยายจีนอิงประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยแผนการรบและกลอุบาย จนมีคำกล่าวว่า
อ่านสามก๊กครบสามจบ คบไม่ได้ ในประเทศไทย สำนักพิมพ์จัมโบ้เป็นผู้จัดพิมพ์การ์ตูนสามก๊กเป็นเล่มใหญ่ โดยแบ่งเป็น 15 เล่มจบ
หงสาจอมราชันย์ เป็นการ์ตูน
ฮ่องกง เรื่องโดย
เฉินเหมา นักเขียนการ์ตูนชาวฮ่องกง ตีพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2544 เรื่องราวหยิบยกเอาเหตุการณ์ในสามก๊ก จากทั้ง
วรรณกรรมและ
พงศาวดารมาเป็นโครงเรื่อง ซึ่งบางส่วนมีการตีความลักษณะของตัวละครขึ้นมาใหม่จากความคิดของเฉินเหมาเอง โดยมี
สุมาอี้และเหลี่ยวหยวนหว่อหรือจูล่งเป็นตัวดำเนินเรื่องหลัก ปัจจุบันนอกจากฮ่องกงกับ
ไต้หวันแล้ว หงสาจอมราชันย์ยังถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปตีพิมพ์ในหลาย ๆ ประเทศ เช่น
ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม สิงคโปร์ และ
ไทย
สามก๊ก มหาสนุก เป็นงานเขียนการ์ตูนเรื่องสามก๊ก เรื่องและภาพโดย
หมู นินจา ตีพิมพ์ในนิตยสาร
มหาสนุกตั้งแต่
พ.ศ. 2548 จนถึง
พ.ศ. 2550 ภายหลังได้มีการตีพิมพ์รวมเล่มเป็นการ์ตูนสีรวมทั้งหมด 45 เล่ม และบริษัทวิธิตาได้นำเรื่องสามก๊กมาสร้างเป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นจำนวน 2 ภาค ล่าสุดได้รับการแปลเป็นภาษาเกาหลี จัดจำหน่ายโดย บริษัท พีเอ็มจี โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท ซัมซุง บุ๊ค พับลิเชอร์
[26]
Dynasty Warriors (
ญี่ปุ่น:
真・三國無双 Shin Sangokumusō lit. "True - Unrivaled Three Kingdoms" ?) เป็นเกมต่อสู้จัดทำและพัฒนาโดย
Koei วางจำหน่ายครั้งแรกในวันที่
1 ธันวาคม พ.ศ. 2540 ใน
เพลย์สเตชัน Dynasty Warriors เป็นเกมที่จำลองวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่อง, อาวุธ, ลักษณะท่าทางและตัวละครที่ปรากฏในเกมล้วนแล้วมาจากเรื่องสามก๊กทั้งสิ้น
ใน
ประเทศญี่ปุ่นเกมนี้ใช้ชื่อว่า
Sangokumusō ซึ่งภายหลังได้มีการจำหน่าย
Dynasty Warriors 2 ที่ดัดแปลงจากภาค 1 ให้มีภาพที่สวยงามและเล่นสนุกขึ้น ซึ่งใน
ประเทศญี่ปุ่นได้ให้ชื่อ
Dynasty Warriors 2 ไว้ว่า
Shin Sangokumusō ในปัจจุบัน Dynasty Warriors เป็นเกมที่มีผู้เล่นเยอะมากที่สุดเกมหนึ่งของโลก และมีวางออกจำหน่ายแล้วถึง 7 ภาคด้วยกัน